นักเตะเลสเตอร์ในความทรงจำ: ไมค์ สตริงเฟลโล่
- Share via Facebook
- Share via Twitter
- Share via Email
- Share via Whatsapp
- Share via Facebook Messenger
-
คัดลอก URL ลงคลิปบอร์ด
URL copied to clipboard
สตริงเฟลโล่ เป็นนักเตะระดับตำนานคนหนึ่งของทีม เลสเตอร์ ซิตี้ เขาเล่นให้ทีมระหว่างปี 1962-1975 ลงสนามทั้งหมด 370 นัดให้กับสโมสร และทำประตูไปแล้วทั้งหมด 97 ครั้ง มีนักเตะเพียงแค่ 12 คนเท่านั้นที่ ทำลายสถิติลงให้กับทีมได้มากกว่าเขา และมีแค่ 7 คนที่สามารถยิงประตูได้มากกว่าเขาเช่นกัน
เขาลงเล่นเกมครั้งแรกในวันที่ 12 ตุลาคม 1960 ในนามผู้เล่นของทีม แมนส์ฟิลด์ ทาวน์ ณ สนามบนถนน ฟิลเบิร์ต เวย์ ต่อหน้าผู้ชมกว่า 7 พันคน ซึ่งเป็นเกมแรกในฐานะทีมที่ก่อตั้งใหม่ใน ระดับลีกคัพ พบกับคู่ต่อสู้ในระดับ ดิวิชั่น 4
ขณะนั้นเขาอายุเพียง 17 ปี เล่นในตำแหน่งปีกซ้าย เขาเล่นให้ฟังว่า “ผมจำได้ว่า เราโดนยำเละเลยวันนั้นเจอไป 4-0 ประตู ผมปะทะกับ เอียน คิง ปีกซ้ายของทีมนั้น ผมแทบตายตอนจบเกม ตอนนั้น ไรช์ คาร์เตอร์ เป็นผู้จัดการทีม เขาเป็นคนมั่นใจสูงมากตอนที่คุม แมนส์ฟิลด์ เขาคุมทีมเยาวชนจนได้รับการเลื่อนชั้นไปคุมทีมใหญ่ในปี 1963
ต่อมาในเดือน มกราคม 1962 หลังจากเล่นให้ แมนส์ฟิล์ด มาแล้ว 65 เกม ไมค์ก็ย้ายมาอยู่กับ เลสเตอร์ ด้วยค่าตัว 25,000 ปอนด์ ซึ่งนับว่า เป็นค่าตัวที่สูงมากสำหรับนักเตะวัยเพียง 18 ปี ในตอนนั้น
แมท กิลลี่ส์ ผู้จัดการทีมของ เลสเตอร์ พยายามเซ็นต์สัญญากับเขาสองครั้งก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็ลงตัว และยังได้ เดวี่ กิ๊บสัน มาเสริมทัพอีกคนด้วยค่าตัวเท่ากัน ซึ่งแข้งทั้งสอง ลงเตะประเดิมเกมแรกพร้อมกัน ในนัดที่เจอกับ ฟูแล่ม
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1962 ซึ่งหลังจากนั้นต่อมา พวกเขาก็กลายเป็นคู่หูตัวอันตรายของทีมไปโดยปริยาย
Stringfellow signed for the Club from Mansfield Town in 1962.
“ผมไม่รู้เลยว่าเขาอยากเซ็นต์ผมเข้าทีมขนาดนั้น ทุกอย่างผ่านเอเจ้นท์หมด ตอนนั้นที่ แมนส์ฟิลด์ หลังจากเกมที่เจอกับ มิลวอลล์ มีคนมาบอกว่า ประธานสโมสรอยากเจอผม ผมเลยไปเจอเขา ซึ่งตอนนั้นก็ได้เจอกับ ผู้อำนวยการของทีม เลสเตอร์ ด้วยสองคน คุณ นีดแฮม และ คุณ ชาร์พ คุยกันสักพัก ผมก็เซ็นต์สัญญาย้ายเลย”
หลังจากเริ่มต้นฤดูกาลแรกกับเลสเตอร์ ไมค์ ก็กลายเป็นผู้เล่นตำแหน่งปีกที่ทรงพลัง และทำหน้าที่แทนรุ่นพี่อย่าง กอร์ดอน วิลส์ ในตำแหน่งปีกซ้ายได้เป็นอย่างดี
ฤดูกาล 1962/63 ในตอนปีที่ เลสเตอร์ สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ฤดกาลนั้น ไมค์สามารถยิงประตูได้ 17 ลูกในลีก และอีก 2 ลูกในการแข่งขันชิงถ้วย ในตำแหน่งปีก “บางที เราก็แค่รู้สึกได้ว่า นี่แหละจังหวะที่เหมาะกับการยิง บางทีบอลก็มาเข้าเท้าเราให้ยิง
ฤดูกาลนั้นผมนี่ ทำประตูได้อย่างกับจับวาง ผมยิงคนเดียว 6 ลูกใน 4 เกม แต่จู่ๆในเกมที่เจอกับ โบลตัน ผมก็เกิดปวดขาขึ้นมา มันทำให้ผมรู้สึกรำคาญมาก เพราะไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผมก็เล่นเกมนั้นไปทั้งๆที่เจ็บนั่นแหละ พอเกมต่อมา เจอเบิร์นลีย์ ตอนนี้มันเจ็บปวดมากกว่าเดิม ผมเจ็บในระหว่างเกม จนต้องพักยาวไปเจ็ดสัปดาห์”
Leicester City became known as the ‘Ice Kings’ during Stringfellow's first full season at the Club.
ผมกับเดวี่ส์ เข้าขากันได้ดี อีกคนคือ โฮวาร์ด ไรลีย์ ก็เยี่ยมมาก เขาเป็นปีกขวา ที่ส่งลูกครอสได้แม่นมาก
ส่งให้ผม หรือเคน คีย์เวิร์ธ ก็ไม่พลาดเลย ไม่รู้ว่าผมโหม่งลูกได้กี่ประตูจากการส่งของเขานะ บางที โฮวาร์ดเอง ก็ยิงประตูได้เหมือนกัน
ในเดือน เมษายน 1963 เป็นช่วงที่มีฤดูหนาวรุนแรงในประเทศ แต่เลสเตอร์ กลับได้ฉายา “ราชาน้ำแข็ง” (Ice Kings) เพราะความร้อนแรงในการทำสถิติ ชนะรวด 10 นัด ในลีก และคัพ จนได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งใน ดิวิชั่น 1 ในการแข่งขัน ที่ร้อนแรงท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เลสเตอร์ ได้พบกับคู่ต่อสู้สุดหิน อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล
ในเกมหนึ่งที่พบกับ ลิเวอร์พูล ไมค์เล่าว่า “มีจังหวะที่ผม, เกรแฮม ครอส, แฟรงค์ แม็คลินท็อกและ เอียน คิง เล่นประสานกันได้ดี จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นขอองการเล่นแบบ แบ็คโฟร์ ก่อนหน้านั้น วิงฮาล์ฟ มักจะเล่นแต่ในแดนหน้าเกมรับ เลสเตอร์ เป็นทีมแรกๆที่จัดให้มีระบบ แบ็คโฟร์ ซึ่งตอนแรกคนก็วิจารณ์ว่า มันไม่ค่อยดี แต่กลายเป็นว่า ในฤดูกาลถัดมา ลิเวอร์พูล เอาแนวการเล่นนี้ไปใช้ตามเราเฉยเลย”
City's No.11 jumps for the ball with Manchester United 'keeper David Gaskell during the 1963 FA Cup Final.
ในปีนั้น เลสเตอร์ ทำผลงานได้สูงสุดถึงขั้น เข้ารอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ซึ่งคู่ต่อสู่ของทีมในวันนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งผลการแข่งขัน เลสเตอร์ แพ้ไป
ไมค์เล่าว่า “ถ้าวันนั้นคุณไปถามใครในทีม เขาคงจะพูดเหมือนกันว่า มันเป็นวันที่ผิดหวังมากที่สุดแล้ว ในชีวิตการเป็นนักฟุตบอล เราเล่นได้ไม่ดีเลยวันนั้น ในยุค 60 ตอนที่ แมน ยูไนเต็ด ชนะแชมป์ยุโรป บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ก็เล่นอยู่ด้วย ซึ่งมันเป็นยุคที่ยังไม่มีตัวสำรอง ทุกคนต้องเล่นจบจบเกม ซึ่งเดี๋ยวนี้ มันคงไม่มีแบบนั้นอีกแล้วล่ะ”
ในฤดูกาลถัดมา ไมค์ ได้รับเลือกให้เป็น ทีมชาติอังกฤษชุดยู 23 แต่เพราะอาการบาดเจ็บ ทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้ลงเล่น “ผมบาดเจ็บที่ต้นขาหลัง เป็นมาตลอดเลยครับ มันกวนใจผมมาก ตอนแรกผมคิดว่า พักไปสักหน่อยก็น่าจะหายทัน แต่ว่า มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงเล่น แต่ทีมของเขาก็ทำผลงานได้ดี ชนะในลีกคัพ ไมค์ อยู่กับ เลสเตอร์ ทั้งหมด เจ็ดฤดูกาล ใต้การคุมทีมของ กิลลีส์ และหัวหน้าโค้ช คือ เบิร์ท จอหนสัน “ผมไม่ค่อยได้เจอ แมท (กิลลีส์) เท่าไหร่ส่วนมาก จะเจอ เบิร์ท ที่สนามซ้อม บีเวอร์ ไดรฟ์ มากกว่า บางทีถ้าเจอแมท ผมยังคิดในใจเลยว่า เขามาทำอะไรเนี่ย”
เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพ แมท กิลลีส์ ต้องพักงานไปสามเดือน ในฤดูกาล 1968 จนกระทั่งสุดท้าย ไปต่อไม่ไหว แมท ยุติบทบาทผู้จัดการทีมของ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี และหากรวมช่วงที่เขามาอยู่ในฐานะนักเตะด้วย เขาจะทำงานกับทีมนี้ ร่วม 17 ปีเลยทีเดียว
City's 1967/68 squad featured a young Peter Shilton in goal, pictured to the right of Stringfellow.
หลังจากที่เขาลาออก จอห์นสัน ก็โดนไล่ออกไปด้วย ซึ่งกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ตอนที่เขาโดนไล่ออกหลังเกมที่ เลสเตอร์ แพ้ เอฟเวอร์ตัน 7-1 ประตู ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 1968 จนเกิดการประท้วง
“วันนั้นทีมเราร่วงไปอยู่ท้ายตาราง กิลลีส์บอกว่า ถ้า เบิร์ธโดนไล่ออก เขาก็จะไปด้วย แถมตอนนั้น อาการบาดเจ็บผมก็หนักขึ้นอีก ผมไม่ได้เล่นในเกมนั้นที่เจอ เอฟเวอร์ตัน ผมรู้สึกแย่มากๆ นั่นก็ยิ่งทำให้เข่าผมเริ่มแย่ลง จนผมต้องไปผ่าตัดเอาเอ็นออก และใส่บอลลูนเข้าไปแทน ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนเดิมอีกเลย”
Stringfellow pictured in action for the Foxes against Manchester City at Maine Road in April 1969.
ตั้งแต่นั้นมา ไมค์ก็ไม่สามารถเล่นบอลได้เฉียบคม อย่างที่เคย เขาไม่ได้ลงในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ปี 1969 แต่ก็ยังคงพยายามเล่นต่อไปอีก 6 ฤดูกาล ใต้ผู้จัดการทีม แฟรงค์ โอฟาเรลล์ และ จิมมี่ บลูมฟิลด์ ซึ่งเขาก็ได้เปลี่ยนบทบาทใหม่ในทีม ซึ่งหลังจากนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามในตอนที่ 2
- Share via Facebook
- Share via Twitter
- Share via Email
- Share via Whatsapp
- Share via Facebook Messenger
-
คัดลอก URL ลงคลิปบอร์ด
URL copied to clipboard